สิทธิของผู้มีความบกพร่องทางการเห็น

นิยาม

          คนพิการ  หมายความว่า  บุคคลซึ่งมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคม เนื่องจากมีความบกพร่องทางการเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือความบกพร่องอื่นใด ประกอบกับมีอุปสรรคในด้านต่างๆ และมีความจำเป็นเป็นพิเศษที่จะต้องได้รับความช่วยเหลือด้านหนึ่งด้านใด เพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือเข้าไปมีส่วนร่วมทางสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป ทั้งนี้ ตามประเภทและหลักเกณฑ์ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ประกาศกำหนด

          การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ หมายความว่า  การเสริมสร้างสมรรถภาพหรือความสามารถของคนพิการให้มีสภาพที่ดีขึ้น หรือดำรงสมรรถภาพหรือความสามารถที่มีอยู่เดิมไว้ โดยอาศัยกระบวนการทางการแพทย์ การศาสนา การศึกษา สังคม อาชีพ หรือกระบวนการอื่นใด เพื่อให้คนพิการได้มีโอกาสทำงานหรือดำรงชีวิตในสังคมอย่างเต็มศักยภาพ

          การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต หมายความว่า การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การจัดสวัสดิการการส่งเสริมและพิทักษ์สิทธิ การสนับสนุนให้คนพิการสามารถดำรงชีวิตอิสระ มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์และเสมอภาคกับบุคคลทั่วไป มีส่วนร่วมทางสังคมอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์ได้

ประเภทความพิการมี ๖ ประเภท

          ๑ )  ความพิการทางการเห็น

          ๒ ) ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย

          ๓ )  ความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย

          ๔ )  ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม หรือออทิสติก

          ๕ )  ความพิการทางสติปัญญา

          ๖ )  ความพิการทางการเรียนรู้

ลักษณะความพิการ

๑. ความพิการทางการเห็น ได้แก่

          ๑ )  ตาบอด  หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องทางการเห็น เมื่อ

ตรวจวัดการเห็นของสายตาข้างที่ดีกว่าเมื่อใช้แว่นสายตาธรรมดารแล้ว อยู่ในระดับแย่กว่า ๓ ส่วน ๖๐ เมตร ( ๓/๖๐ )  หรือ  ๒๐  ส่วน  ๔๐๐  ฟุต  ( ๒๐/๔๐๐ ) ลงมาจนกระทั่งมองไม่เห็นแม้แต่แสงสว่าง หรือมีลานสายตาแคบกว่า  ๑๐  องศา

          ๒ )  ตาเห็นเลือนราง  หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นมาจากการมีความบกพร่องในการเห็นเมื่อตรวจวัดการเห็นของสายตาข้างที่ดีกว่า เมื่อใช้แว่นสายตาธรรมดาแล้วอยู่ในระดับ  ๓  ส่วน  ๖๐  เมตร ( ๓/๖๐ ) หรือ ๒๐  ส่วน  ๔๐๐  ฟุต  ( ๒๐/๔๐๐ ) ไปจนถึงแย่กว่า  ๖ ส่วน  ๑๘  เมตร

( ๖/๑๘ )  หรือ  ๒๐  ส่วน  ๗๐  ฟุต  ( ๒๐/๗๐ ) หรือมีลานสายตาแคบกว่า  ๓๐  องศา

 

๒.  ความพิการทางการได้ยินหรือสื่อความหมาย ได้แก่

          ๑ )  หูหนวก  หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการมีความบกพร่องในการได้ยินจนไม่สามารถรับข้อมูลผ่านทางการได้ยิน เมื่อตรวจการได้ยินเสียงโดยใช้คลื่นความถี่  ๕๐๐ เฮิรตซ์  ๑,๐๐๐  เฮิรตซ์ หรือ  ๒,๐๐๐ เฮิรตซ์ ในหูข้างที่ได้ยินดีกว่าจะมีความดังของเสียง  ๙๐  เดซิเบลขึ้นไป

          ๒ )  หูตึง  หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งมีผลมาจากการมีความบกพร่องในการได้ยินจนไม่สามารถรับข้อมูลผ่านทางการได้ยิน เมื่อตรวจการได้ยินเสียงโดยใช้คลื่นความถี่  ๕๐๐ เฮิรตซ์  ๑,๐๐๐  เฮิรตซ์ หรือ  ๒,๐๐๐ เฮิรตซ์ ในหูข้างที่ได้ยินดีกว่าจะมีความดังของเสียงน้อยกว่า  ๙๐  เดซิเบล ลงมาจนถึง  ๔๐  เดซิเบล

          ๓ )  ความพิการทางการสื่อความหมาย  หมายถึง การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องทางการสื่อความหมาย ได้แก่ พูดไม่ได้  พูดไม่ชัด  หรือพูดแล้วผู้อื่นไม่เข้าใจซึ่งมีพื้นฐานมาจากการตัดกล่องเสียง หรือความบกพร่องที่มีมาแต่กำเนิด เป็นต้น

๓.  ความพิการทางการเคลื่อนไหวหรือร่างกาย ได้แก่

          ๑ )  ความพิการทางการเคลื่อนไหว หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม  ซึ่งเป็นผลมาจากการมีความบกพร่องหรือการสูญเสียความสามารถของอวัยวะในการเคลื่อนไหว ได้แก่ มือ เท้า  แขน ขา อาจมาจากสาเหตุอัมพาต  แขน ขา อ่อนแรง แขน ขาขาด หรือภาวะเจ็บป่วยเรื้อรังจนมีผลกระทบต่อการทำงานมือ  เท้า  แขน  ขา

          ๒ )  ความพิการทางร่างกาย  หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นมาจากการมีความบกพร่องหรือความผิดปกติของศีรษะ และภาพลักษณ์ภายนอกของร่างกายที่เห็นได้อย่างชัดเจน

๔.  ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม หรือออทิสติก ได้แก่

          ๑ )  ความพิการทางจิตใจหรือพฤติกรรม  หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องหรือความผิดปกติทางจิตใจหรือสมองในส่วนของการรับรู้ อารมณ์ หรือความคิด

          ๒ )  ความพิการทางออทิสติก หมายถึง  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่อิงทางพัฒนาการด้านสังคม ภาษาและการสื่อความหมาย พฤติกรรมและอารมณ์ โดยสาเหตุมาจากความผิดปกติของสมอง และความผิดปกตินั้นแสดงก่อนอายุ  ๒  ปีครึ่ง ทั้งนี้ ให้รวมถึงการวินิจฉัยกลุ่มออทิสติกสเปกตรัมอื่นๆ เช่น แอสเปอเกอร์ ( Asperger )

๕.  ความพิการทางสติปัญญา  ได้แก่การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม ซึ่งเป็นผลมาจากการมีพัฒนาการช้ากว่าปกติหรือมีระดับเชาว์ปัญญาต่ำกว่าบุคคลทั่วไป โดยความผิดปกตินั้นแสดงก่อนอายุ  ๑๘  ปี

๖.  ความพิการทางการเรียนรู้  ได้แก่  การที่บุคคลมีข้อจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันหรือการเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม โดยเฉพาะด้านการเรียนรู้ ซึ่งเป็นผลมาจากความบกพร่องทางสมอง ทำให้เกิดความบกพร่องในการอ่าน การเขียน  การคิดคำนวณ หรือกระบวนการเรียนรู้พื้นฐานอื่นในระดับความสามารถต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐานของช่วงอายุและระดับสติปัญญา

แนวทางทางการตรวจวินิจฉัยและออกใบรับรองความพิการ

          ๑.  ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเป็นผู้ตรวจวินิจฉัยและออกใบรับรองความพิการที่ระบุประเภทความพิการ  ในกรณีเป็นผู้พิการที่มีสภาพความพิการมากกว่าหนึ่งประเภทให้ระบุทุกประเภทลงในใบรับรองความพิการ

          ๒.  กรณีนายทะเบียนกลาง หรือนายทะเบียนจังหวัดเห็นว่าบุคคลนั้นมีสภาพความพิการที่สามารถเห็นได้โดยประจักษ์ไม่ต้องให้มีการตรวจวินิจฉัยก็ได้

          หลักเกณฑ์และวิธีการร้องขอ และการวินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นต่อคนพิการ

          ๑.  คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการขจัดการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการเพื่อทำหน้าที่เสนอแนะนโยบาย  แนวทางและมาตรการเกี่ยวกับการขจัดการเลือกปฏิบัติ เสริมสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิที่คนพิการพึงได้รับอย่างเท่าเทียมบุคคลทั่วไปตามกฎหมาย ไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทก่อนมีการวินิจฉัยการร้องขอ ไกล่เกลี่ย รวบรวมข้อเท็จจริงและจัดทำการวินิจฉัยในกรณีพิพาทเกี่ยวกับการที่หน่วยงานของรัฐและเสนอการวินิจฉัยนั้นต่อคณะกรรมการเพื่อวินิจฉัยและมีคำสั่งชี้ขาดในกรณีพิพาทนั้น

บัตรประจำตัวคนพิการ

( บัตรประจำตัวมีอายุหกปีนับแต่วันออกบัตร )

          สำหรับคนพิการในกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขอต่อเลขาธิการสำนักทะเบียนกลาง สำหรับจังหวัดอื่นให้ยื่นต่อสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดซึ่งเป็นสำนักงานทะเบียนจังหวัด โดยมีพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดเป็นนายทะเบียนจังหวัด      

          กรณีที่คนพิการเป็นผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือคนไร้ความสามารถ หรือในกรณีที่คนพิการมีสภาพความพิการถึงขั้นไม่สามารถไปยื่นคำขอด้วยตนเอง ผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาลหรือผู้ดูแลคนพิการ แล้วแต่กรณี จะยื่นคำขอแทนก็ได้ แต่ต้องนำหลักฐานว่าเป็นคนพิการไปแสดงต่อนายทะเบียนกลางหรือนายทะเบียนจังหวัด แล้วแต่กรณี

          เอกสารที่ยื่นขอบัตรประจำตัวคนพิการได้แก่

                    ๑ ) สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาบัตรประจำตัวข้าราชการ หรือ  

     สำเนาสูติบัตรคนพิการ

                    ๒ )  สำเนาทะเบียนบ้านของคนพิการ

                    ๓ )  รูปถ่ายขนาด  ๑  นิ้ว ( ถ่ายมาแล้วไม่เกิน  ๖  เดือน ) จำนวน  ๒  รูป

                    ๔ )  ใบรับรองความพิการ เว้นแต่สภาพความพิการที่สามารถเห็นได้โดยประจักษ์

                    ๕ )  กรณีบุคคลอื่นยื่นคำขอแทนคนพิการ ให้นำสำเนาบัตรประจำตัว

                           ประชาชนหรือสำเนาทะเบียนของบุคคลนั้น และหลักฐานที่แสดงให้เห็น

                           ว่าได้รับมอบอำนาจจากคนพิการหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนพิการ

                           เนื่องจากเป็นผู้ปกครอง ผู้พิทักษ์ ผู้อนุบาล หรือผู้ดูแลคนพิการ แล้วแต่กรณี

                              

อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ

Convention on the Rights of Persons with Disabilities ( CRPD )

          การเคารพในศักดิ์ศรีที่มีมาแต่กำเนิด การอยู่ได้ด้วยตนเอง การมีเสรีภาพในการตัดสินใจเลือกด้วยตนเอง และความเป็นอิสระของบุคคล การไม่เลือกปฏิบัติ การเข้ามีส่วนร่วมในสังคม การเคารพความแตกต่าง ความเท่าเทียมกันในโอกาส ความสามารถในการเข้าถึง

          สิทธิคนพิการ ได้แก่ สิทธิความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติ สิทธิการมีชีวิต เสรีภาพ และความมั่นคงของบุคคล สิทธิที่ได้รับการยอมรับว่ามีความสามารถตามกฎหมายบนพื้นฐานอันเท่าเทียมกัน เสรีภาพจากการถูกทรมาน เสรีภาพจากการแสวงหาประโยชน์ การใช้ความรุนแรงและการถูกล่อลวง สิทธิที่จะได้รับการเคารพต่อศักดิ์ศรีทางร่างกายและจิตใจ สิทธิในการอาศัยอยู่ในชุมชน เสรีภาพในการแสดงออกและแสดงความคิดเห็น สิทธิการเคารพการเป็นส่วนตัว สิทธิการเคารพในการสร้างครอบครัว สิทธิด้านสุขภาพ สิทธิทางการศึกษา สิทธิด้านการทำงาน สิทธิสำหรับมาตรฐานความเป็นอยู่ที่พอเพียง

          การเลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งความพิการ หมายถึง ความแตกต่าง การกีดกัน หรือการจำกัดบนพื้นฐานของความพิการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์หรือส่งผลให้เป็นการเสื่อมเสียหรือทำให้ไร้ผลซึ่งการยอมรับ การอุปโภค หรือการใช้สิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งปวงบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกับบุคคลอื่นในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ความเป็นพลเมืองหรือด้านอื่น รวมถึงการปฏิบัติในทุกรูปแบบ รวมทั้งการปฏิเสธการช่วยเหลือที่สมเหตุสมผล

 

สิทธิทางการศึกษา

 

          ๑.  สถานศึกษาใดปฏิเสธไม่รับคนพิการเข้าศึกษาโดยไม่มีเหตุผลและความจำเป็น ให้ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมตามกฎหมาย และให้สถานศึกษามีหน้าที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐานสำหรับคนพิการตามภารกิจของสถานศึกษานั้น โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย  

          ๒.  กำหนดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานและการศึกษาปฐมวัยรวมกันไม่น้อยกว่าสิบห้าปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึงตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาส ต้องจัดให้มีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ

          ๓.  คนพิการมีสิทธิทางการศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายตั้งแต่แรกเกิดหรือพบความพิการจนตลอดชีวิต พร้อมทั้งได้รับเทคโนโลยี สิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา เลือกบริการทางการศึกษา  สถานศึกษา ระบบและรูปแบบการศึกษา โดยคำนึงถึงความสามารถ ความสนใจ ความถนัดและความต้องการจำเป็นพิเศษของบุคคลนั้น

          ๔.  ได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐานและประกันคุณภาพการศึกษา

          ๕.  ให้สถานศึกษาและศูนย์การเรียนเฉพาะความพิการอาจจัดการศึกษาสำหรับคนพิการทั้งระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ในรูปแบบที่หลากหลายทั้งการเรียนร่วม การจัดการศึกษาเฉพาะความพิการ

          ๖.  การจัดทำหลักสูตร กระบวนการเรียนรู้ การทดสอบทางการศึกษา การวัดและประเมินผลการศึกษาให้ดำเนินการให้สอดคล้องกับสภาพความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการแต่ละประเภท ตามรูปแบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการตามที่เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนด หรือสถานศึกษาเห็นสมควร

          ๗.  จัดให้มีการบริการสำหรับคนพิการซึ่งมีอุปสรรคในการเดินทางคนพิการ

          ๘.  สถานศึกษาทั้งอาชีวศึกษาและอุดมศึกษาที่รับคนพิการเข้าศึกษา มีสิทธิได้รับค่าเล่าเรียน ค่าบำรุง ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ตามจำนวนเงินที่ต้องเรียกเก็บจากนักศึกษาพิการ

การช่วยเหลือทางกฎหมายและการจัดหาทนายว่าต่างแก้ต่างคดี

          คนพิการจะได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายในเรื่องต่างๆ ดังนี้ การให้คำปรึกษาหารือทางกฎหมาย การให้ความรู้ทางกฎหมาย การจัดทำนิติกรรมสัญญา การไกล่เกลี่ยหรือการประนีประนอมยอมความ การจัดหาทนายความ และการให้ความช่วยเหลืออื่นในทางคดี

          คนพิการสามารถยื่นคำขอรับความช่วยเหลือเป็นหนังสือ หรือด้วยวาจา หรือส่งทางไปรษณีย์ เพื่อขอรับความช่วยเหลือในคดีต่างๆ ได้แก่คดีแพ่ง คดีอาญา คดีปกครอง คดีแรงงาน และคดีทรัพย์สินทางปัญญา

          สถานที่ยื่นคำขอในกรุงเทพมหานคร ให้แจ้งหรือยื่นต่อกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ หรือสถานที่อื่นที่อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการกำหนด ส่งนในท้องที่จังหวัดอื่นให้แจ้งหรือยื่นต่อสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหรือที่หน่วยบริการในพื้นที่ตามที่ผู้ว่าราชการจังหวัดกำหนด

          ค่าใช้จ่ายที่จะได้รับความช่วยเหลือ ได้แก่ การวางเงินค่าธรรมเนียมศาล ค่าจ้างทนายความเพื่อแก้ต่างคดี การวางเงินเป็นหลักประกันในการปล่อยตัวชั่วคราว และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยอาจได้รับความช่วยเหลือเต็มจำนวนหรือบางส่วนก็ได้

หลักเกณฑ์และวิธีการปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยให้แก่คนพิการ

การมีผู้ช่วยคนพิการ การช่วยเหลือคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล และสิทธิของผู้ดูแลคนพิการ

          การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยโดยการเพิ่มเติม ปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหรือดัดแปลงที่อยู่อาศัยบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อขจัดอุปสรรคหรือจัดให้คนพิการสามารถดำรงชีวิต

ในที่อยู่นั้น ได้โดยสะดวกและเหมาะสมกับสภาพความพิการรวมถึงเพื่อความปลอดภัยและสุขอนามัย โดยคนพิการในเขตกรุงเทพมหานคร ให้ยื่นคำขอต่อหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการตามที่อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการประกาศกำหนด  ส่วนคนพิการในจังหวัดอื่นให้ยื่นที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดหรือหน่วยบริการในพื้นที่ตามที่ผู้ว่าราชการกำหนด

          การจัดให้มีผู้ช่วยคนพิการ โดยจัดจ้างบุคคลเพื่อให้ความช่วยเหลือคนพิการเฉพาะบุคคลเพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจวัตรที่สำคัญในการดำรงชีวิต ภายในระยะเวลาหนึ่งตามความจำเป็นไม่เกิน  ๑  ปี โดยคนพิการในเขตกรุงเทพมหานครให้ยื่นคำขอต่อหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการที่อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการประกาศกำหนด ส่วนในจังหวัดอื่นให้ยื่นที่สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด

          คนพิการที่ยื่นคำขอให้มีผู้ช่วยคนพิการต้องมีบัตรประจำตัวคนพิการ  โดยมีความจำเป็นเพื่อให้สามารถปฏิบัติกิจวัตรที่สำคัญในการดำรงชีวิตได้และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นหรือได้รับแต่ไม่เพียงพอ

          การคุ้มครองสิทธิคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแล ได้กำหนดให้คนพิการที่ไม่มีบิดา มารดา บุตร สามี ภรรยา ญาติ พี่น้องหรือบุคคลในครอบครัวที่รับคนพิการไว้ดูแลหรืออุปการะเลี้ยงดูมีสิทธิได้รับสวัสดิการในเรื่องต่างๆ เช่น การช่วยเหลือเป็นเงินหรือสิ่งของ การจัดหาครอบครัวอุปการะ การส่งเข้าอุปการะในสถานสงเคราะห์ การจัดให้มีผู้ช่วยคนพิการ  และการช่วยเหลือเรื่องอื่นๆ  สำหรับคนพิการที่จะได้รับสิทธิในเรื่องนี้ต้องไม่มีผู้อุปการะเลี้ยงดูหรือมีแต่ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือที่อยู่อาศัยไม่มั่นคงหรือมาเหมาะสม ไม่สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ และไม่ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นหรือได้รับแต่ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ จะต้องให้การสนับสนุนสถานสงเคราะห์เอกชนที่รับอุปการะคนพิการที่ไม่มีผู้ดูแลด้วย

สิทธิของผู้ดูแลคนพิการ 

          ผู้ดูแลคนพิการที่ได้รับความเดือดร้อนหรือยากลำบากเนื่องจากต้องดูแลคนพิการได้รับสิทธิในเรื่องต่างๆ ดังนี้ การบริการให้คำปรึกษา แนะนำ ฝึกอบรมทักษะการเลี้ยงดูคนพิการ การจัดการศึกษาเพื่อการพัฒนาคุณภาพคนพิการ การส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ การทำงานในสถานประกอบการ การฝึกอาชีพ การสนับสนุนเงินทุนประกอบอาชีพ การมีงานทำ การให้สัมปทานหรือสถานที่จำหน่ายสินค้า การจัดจ้างแบบเหมางานอื่นๆ

หลักเกณฑ์และวิธีการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ

          กำหนดให้คนพิการที่มีสิทธิได้รับเบี้ยความพิการต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังนี้ มีสัญญาชาติไทย มีบัตรประจำตัวคนพิการ  มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตพื้นที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามทะเบียนบ้าน ไม่เป็นบุคคลซึ่งอยู่ในความอุปการะของสถานสงเคราะห์ หรือถูกขังในเรือนจำตามหมายจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก โดยไม่ตัดสิทธิคนพิการที่ได้รับสิทธิตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายหรือระเบียบอื่น

          คนพิการจะต้องลงทะเบียนและยื่นคำขอรับเบี้ยคนพิการต่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น หรือสถานที่อื่นตามที่ผู้บริหารท้องถิ่นประกาศกำหนด

          การจ่ายค่าเบี้ยความพิการให้จ่ายได้ในอัตราเดือนละ ๕๐๐ บาท  ( ห้าร้อยบาทถ้วน )  โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จ่ายให้แก่ผู้มีสิทธิเป็นรายเดือนภายในวันที่สิบของทุกเดือน

กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ

          กองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ในสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตแห่งชาติใช้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ การส่งเสริมและการดำเนินงานด้านการสงเคราะห์ช่วยเหลือคนพิการ การฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ การศึกษาละการประกอบอาชีพคนพิการ รวมทั้งการส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ โดยจัดสรรให้อย่างเป็นธรรมและทั่วถึง

          องค์กรเอกชนสามารถขอรับการสนับสนุนแผนงานหรือโครงการเพื่อสร้างความเข้มแข็งให้แก่องค์กรด้านคนพิการ และการส่งเสริมและพัฒนาคุภาพชีวิตคนพิการได้

          คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการสามารถกู้ยืมเงินทุนแบบรายบุคคลหรือรายกลุ่มเพื่อนำไปใช้ในการประกอบอาชีพไม่เกินรายละ ๔๐,๐๐๐ บาท ( สี่หมื่นบาทถ้วน ) หรือกู้ยืมรายกลุ่มๆ ละไม่เกิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ( หนึ่งล้านบาทถ้วน ) โดยผ่อนชำระภายใน  ๕  ปี โดยไม่มีดอกเบี้ย

          แผนงานหรือโครงการที่จะได้รับการสนับสนุนต้องสอดคล้องกับแผนพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ  นโยบายรัฐบาล หรือนโยบายของคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติ มีวัตถุประสงค์และกระบวนการในการดำเนินงานชัดเจน และมีผลต่อการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ สร้างการมีส่วนร่วมของบุคคลหรือหน่วยงานหรือประชาชนเกี่ยวกับการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ มีคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการหรือมีหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจด้านคนพิการเข้าร่วมบริหารจัดการหรือให้คำปรึกษาในการดำเนินงาน สำหรับองค์กรภาคเอกชนต้องเป็นแผนงานหรือโครงการที่ดำเนินงานมาแล้ว โดยมีทุนหรือเงินสมทบอยู่บางส่วน หรือเป็นแผนงานหรือโครงการใหม่ ต้องไม่ได้รับการสนับสนุนงบประมาณจากส่วนราชการและแหล่งทุนอื่นๆ หรือได้รับสนับสนุนแต่ไม่เพียงพอ

สิทธิเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากสิ่งอำนวยความสะดวก สวัสดิการ

และความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ

          ๑.  การบริการฟื้นฟูสมรรถภาพโดยกระบวนการทางการแพทย์และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าอุปกรณ์ เครื่องช่วยความพิการ และสื่อส่งเสริมพัฒนาการ เพื่อปรับสภาพทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมพฤติกรรม สติปัญญา การเรียนรู้ หรือเสริมสร้างสมรรถภาพให้ดีขึ้น

          ๒.  การศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาแห่งชาติหรือแผนการศึกษาแห่งชาติตามความเหมาะสมในสถานศึกษาเฉพาะหรือในสถานศึกษาทั่วไป หรือการศึกษาทางเลือก หรือการศึกษานอกระบบโดยให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเกี่ยวกับสิ่งอำนวยความสะดวก บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาตามความเหมาะสม

          ๓.  การฟื้นฟูสมรรถภาพด้านอาชีพ การให้บริการที่มีมาตรฐาน การคุ้มครองแรงงาน มาตรการเพื่อการมีงานทำ การส่งเสริมการประกอบอาชีพอิสระ และการบริการสื่อ สิงอำนวยความสะดวกเทคโนโลยีหรือความช่วยเหลืออื่นใด เพื่อการทำงานและประกอบอาชีพของคนพิการ

          ๔.  การยอมรับและมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและการเมืองอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพแห่งความเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไป และได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ที่จำเป็น

          ๕.  การช่วยเหลือให้เข้าถึงนโยบาย แผนงาน โครงการ กิจกรรมการพัฒนาและบริการอันเป็นสาธารณะ ผลิตภัณฑ์ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต การช่วยเหลือทางกฎหมายและการจัดทนายความว่าต่างแก้ต่างคดี

          ๖.  ข้อมูลข่าวสาร การสื่อสาร บริการโทรคมนาคม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความอำนวยความสะดวดเพื่อการสื่อสาร

          ๗.  สิทธิที่จะนำสัตว์นำทาง เครื่องมือหรืออุปกรณ์นำทาง หรือเครื่องช่วยความพิการใดๆ ติดตัวไปในยานพาหนะหรือสถานที่ใดๆ เพื่อประโยชน์ในการเดินทาง และการได้รับสิ่

อำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะโดยได้รับการยกเว้นค่าบริการ ค่าธรรมเนียม และค่าเช่าเพิ่มเติมสำหรับสัตว์ เครื่องมืออุปกรณ์ หรือเครื่องช่วยความพิการ  

          ๘.  การจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ

          ๙.  การปรับสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัย การมีผู้ช่วยคนพิการหรือการจัดให้มีสวัสดิการอื่น

 

หลักเกณฑ์และวิธีการร้องขอเกี่ยวกับการกระทำในลักษณะที่เป็น

การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อคนพิการ

          ให้นำเสนอข้อเท็จจริงโดยทำเป็นคำร้องเพื่อให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติเพื่อให้มีคำสั่งเพิกถอนการกระทำหรือห้ามมิให้การกระทำนั้น

          โดยผู้มีสิทธิยื่นคำขอได้แก่ คนพิการที่ได้รับความเสียหายหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทำที่มีลักษณะการเลือกปฏิบัติ หรือผู้ดูแลคนพิการในกรณีที่คนพิการเป็นผู้เยาว์ คนเสมือนไร้ความสามารถหรือคนไร้ความสามารถ หรือในกรณีที่คนพิการมีสภาพความพิการถึงขั้นไม่สามารถไปร้องขอด้วยตนเองได้ หรือองค์กรด้านคนพิการหรือบุคคลที่ได้รับมอบอำนาจจากคนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการให้ดำเนินการร้องขอแทน

          วิธีการยื่นคำร้องขอ ให้คนพิการหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายยื่นคำร้องขอเป็นหนังสือหรือส่งทางไปรษณีย์หรือด้วยวาจาหรือด้วยวิธีการอื่นใดเพื่อให้คณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติดำเนินการวินิจฉัยและมีคำสั่งตามที่กำหนดไว้

          สถานที่ร้องขอ ผู้อยู่ในกรุงเทพมหานคร ให้ร้องขอต่อสำนักงานหรือหน่วยงานในสังกัดกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ หรือหน่วยงานอื่นที่เลขาธิการสำนักงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติกำหนด ส่วนผู้ที่อยู่ในจังหวัดอื่นให้ร้องขอต่อสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดนั้นๆ หรือหน่วยงานอื่นตามที่ผู้ว่าราชการกำหนด

          เมื่อคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติมีการวินิจฉัยและออกคำสั่งแล้ว ให้เสนอการวินิจฉัยและคำสั่งต่อประธานกรรมการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการแห่งชาติหรือบุคคลที่ประธานกรรมการมอบหมายเพื่อพิจารณาลงนามในการวินิจฉัยและคำสั่งแจ้งให้คู่กรณีทราบต่อไป

          คนพิการที่ได้รับหรือจะได้รับความเสียหายจากการกระทำในลักษณะที่เป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมมีสิทธิที่จะฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดต่อศาลที่มีเขตอำนาจ และการฟ้องร้องไม่ว่าคนพิการเป็นผู้ฟ้องเองหรือองค์กรด้านคนพิการที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ฟ้องแทนได้รับการยกเว้นค่าฤชาธรรมเนียม