จากความล้มเหลวเมื่อวันวาน เปลี่ยนมาเป็นความสำเร็จของผมในวันนี้ พีระ

     ผมได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการผิดหวังจากที่ผมถูกการปฏิเสธจากครูใหญ่โรงเรียนประจำหมู่บ้านที่ผมเกิดเอง เหตุผลเพียงเพราะว่าผมเป็นคนตาบอด ไม่สามารถเรียนรู้ร่วมกับเพื่อนๆได้ เป็นภาระให้กับคุณครูที่สอน ให้กับเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน และผมก็เชื่อว่า ถึงแม้ว่าโลกจะเจริญไปไกลแล้วแต่ก็อาจจะมีเหตุการณ์แบบนี้อยู่บ้างในสังคมที่ไม่เข้าใจคนตาบอด หรือคนพิการประเพทอื่นบ้าง ซึ่งผมอยากจะบอกกับสังคมที่ยังมีแนวคิดเดิมๆแบบนี้อยู่ ได้โปรดให้โอกาสแก่พวกเขาเหล่านั้นเถอะครับ แล้วจะรู้ว่าสิ่งที่คิด สิ่งที่เคยเข้าใจมาก่อนนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย คุณคิดแบบ "ผึ้ง" หรือ "แมลงวัน"

     ถ้าหากคุณจับเอาผึ้ง  6  ตัวใส่ในขวด และจับแมลงวัน  6  ตัวเช่นกัน ใส่ในอีกขวด จากนั้นค่อย ๆ วางขวดให้นอนลง โดยหันก้นขวดไปทางหน้าต่าง คุณจะพบว่าผึ้งพยายามที่จะบินออกทางก้นขวด จนกระทั่งมันตายจากการขาดอากาศหรืออาหาร ในขณะที่แมลงวันนั้น จะสามารถบินออกมาทางฝั่งคอขวด ที่อยู่ด้านตรงข้ามกับก้นขวดซึ่งหันไปทางหน้าต่างเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้... นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าผึ้งเป็นสัตว์ที่ฉลาด มีองค์ความรู้ พวกมันรู้ว่าการบินไปในทิศทางที่มีแสงสว่างจะเป็นทางออกจากรัง โพรงไม้ ฯลฯ แต่เมื่อต้องมาอยู่ในขวด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ผึ้งไม่เคยเผชิญมาก่อนมันก็ยังคงเชื่อในความคิดแบบเดิมที่มีมาตลอด คือ ต้องบินออกทางแสงสว่างเท่านั้น แต่สำหรับแมลงวัน มันเป็นสัตว์ที่ไม่มีความคิดเป็นตรรกะ ดังนั้นเมื่อถูกจับไว้ในขวด มันจึงบินชนผนังขวดจากที่หนึ่งไปที่หนึ่ง จนในที่สุดก็พบทางออก การทดลองนี้แสดงให้เห็นว่า คนฉลาด รู้มาก ก็สามารถที่จะล้มเหลวได้เพราะความรู้มาก ในขณะที่ผู้ไม่รู้ก็อาจจะประสบความสำเร็จจากการลองทำในสิ่งที่แตกต่างไปเรื่อย ๆ ได้เช่นกัน อย่าเพิ่งสรุปคนอื่นเพราะความคิดของเราบางทีพวกเขาเหล่านั้นอาจจะสร้างสิ่งใหม่ที่เราคาดไม่ถึงก็ได้

     ผมได้มีโอกาสมาเริ่มชีวิตใหม่ที่มูลนิธิธรรมิกชนฯ ตอนนั้นพูดได้ว่าผมเริ่มนับสูนสำหรับการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตในสังคมก็ว่าได้ เริ่มต้นใหม่สำหรับการศึกษารวมทั้งการประกอบอาชีพที่ผมจะเล่าให้ท่านผู้อ่านได้อ่านต่อไปครับ

     ชีวิตใหม่ของการเรียนรู้ของผมวันแรกเรียนรู้คำว่าคิดถึงบ้าง ด้วยเหตุที่ผมได้ออกจากบ้านมาใช้ชีวิตอยู่กับมูลนิธิฯตั้งแต่ 8 ปี ซึ่งถือว่ายังเด็กมากเมื่อเทียบกับหลายๆคนที่ได้จากบ้านเมื่อเรียนมหาวิทยาลัย หรือทำงาน หรือบางคนที่ตลอดชีวิตไม่เคยห่างไกลจากบ้านเลย แต่นั่นก็ไม่ใช่อุปสรรคใหย่ในชีวิตของผม เพราะอุปสรรคใหญ่ที่สุดของผมในตอนนั้นคือไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กปกติทั่วไป ด้วยสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น มีแม่บ้านคอยดูแล แนะนำสั่งสอนหลังเลิกเรียน มีครู อาจารย์คอยให้ความรู้ เรียนรู้อักษรเบรลล์ เรียนหนังสือตามหลักสูตรที่กระทรวงกำหนดเหมือนคนทั่วไป “ที่ผมเล่ามาถึงตรงนี้ก็เพราะว่ายังมีหลายคนที่มักจะเข้ามาถามผมอยู่เสมอว่า คนตาบอดเรียนอย่างไร แล้วเรียนหนังสือเหมือนคนตาดีหรือเปล่า” และผมก็ตอบออกไปด้วยความพากภูมิใจครับว่า “คนตาบอดก็เรียนหนังสือ ใช้หลักสูตรการเรียนการสอนเหมือนกับคนทั่วไปนี่แหละครับ เพียงแต่คนตาบอดนั้นจะต้องใช้อักษรเบรลล์ อุปกรณ์เทคโนโลยีเข้ามาช่วยสนับสนุนในการเรียนเท่านั้น” ผมเรียนรู้การช่วยเหลือตัวเองในชีวิตประจำวัน การอ่านเขียนอักษรเบรลล์ และการใช้ชีวิตร่วมกับสังคมที่นี่ครับ การที่ใครจะเรียนรู้ได้ช้าหรือเร็วนั้นก็ขึ้นอยู่กับความพร้อม ความรู้ทักษะพื้นฐาน หรือประสบการณ์ของคนนั้นๆครับ ซึ่งถ้าเป็นระบบการเรียนการสอน หรือการดูแลเอาใจใส่นักเรียนทุกคนเต็มที่ตลอด 24 ชั่วโมงอยู่แล้วครับ

     เมื่อมีความรู้ ความพร้อม สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้วทางมูลนิธิฯก็จะส่งออกมาเรียนร่วมกับนักเรียนปกติทั่วไปตามโรงเรียนต่างๆตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาจนถึงระดับการศึกษาที่สูงขึ้นตามศักยภาพของผู้เรียนครับ ซึ่งผมก็เป็นคนหนึงในคนตาบอดหลายๆคนที่ได้รับการช่วยเหลือและสนับสนุนด้วยดีตลอดมาจนจบการศึกษาระดับปริญญาโท ซึ่งที่ผ่านมาจะเรียกได้ว่ามันเป็นความสำเร็จของผมเสียทีเดียวก็คงไม่ใช่ แต่เป็นเพราะทางมูลนิธิฯ ครูอาจารย์จากสถานศึกษาต่างๆ รวมถึงเพื่อนๆ ได้ให้โอกาสผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการศึกษา การมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ การที่มีโอกาสได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แม้กระทั่งโอกาสในการประกอบอาชีพ  ความสำเร็จของผมจะเกิดขึ้นไม่ได้เลยถ้าหากว่าปราศจากบุคลเหล่านี้ ฉะนั้นโปรดเชื่อไว้เสมอเถอะว่า “ถ้าคุณได้ให้โอกาสคนตาบอดได้ทำในสิ่งที่เขาต้องการ คุณก็คือส่วนหนึ่งของความสำเร็จของพวกเขาแล้ว” เพราะผมเชื่อว่าความสำเร็จอยู่ที่ความตั้งใจ ไม่ใช่ได้มาเพราะโชคช่วยดังคำสอนของขงจื้อที่ว่า

ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่

ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย

เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส

เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย

     ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"” คนตาบอดก็เช่นกันถ้ามีความตั้งใจ ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่ผ่านเข้ามาแล้ว ก็สามารถพบกับความสำเร็จได้เช่นกัน ดังมีตัวอย่างที่เห็นได้จากความสำเร็จของพี่ๆตาบอดหลายคนที่ประสบความสำเร็จด้านการเรียน และการงานเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว และกำลังสำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศชาติดังมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วหลายคน

     ผ่านมาจนถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ผมไม่เคยลืมและละลึกอยู่เสมอว่า ผมได้รับโอกาสจากมูลนิธิ ผมได้รับโอกาสจากผู้คนมากมายที่เข้ามาสนับสนุนการดำเนินงานของมูลนิธิ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนด้านสิ่งของ ทุนทรัพย์ กำลังกายและกำลังใจผ่านทางช่องทางต่างๆ ทำให้ผมได้ประสบความสำเร็จทั้งการเรียน และการงาน ในสมัยที่ผมเรียนจบใหม่ๆ มีเพื่อนๆที่เรียนด้วยกัน ครูอาจารย์และอีกหลายคนได้เข้ามาถามผมว่า “เมื่อเรียนจบแล้วจะไปทำอะไร” ซึ่งทำให้ผมตัดสินใจโดยไม่ลังเลเลยว่าในชีวิตนี้ถ้ามีโอกาสผมก็จะทำงาน ทำหน้าที่เป็นผู้ให้โอกาสกับน้องๆตาบอดอีกหลายคนหลายรุ่นที่จะผ่านเข้ามาขอรับโอกาสจากมูลนิธิ เหมือนสมัยผมที่ครั้งยังเล็กผมก็ได้เป็นคนหนึ่งที่เข้ามารับโอกาสนี้จากมูลนิธิเช่นกัน และบัดนี้ผมได้ทำตามที่ผมฝันไว้ได้แล้ว คือได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นหัวหน้าศูนย์บริการเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อคนตาบอด ซึ่งดูแลงานด้านเทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนตาบอด และหัวหน้าสำนักหอสมุดเบญญาลัย (ห้องสมุดออนไลน์) เป็นห้องสมุดที่ให้บริการคนตาบอดผ่านระบบออนไลน์ ซึ่งตรงกับความรู้ความสามารถของผม ผมจะทำให้เต็มที่ ทำให้ดีที่สุด เพื่อองค์กรที่ให้โอกาสผมมามีความมั่นคงสร้างโอกาสให้กับน้องๆตาบอดอีกหลายคน เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนความศรัทธาที่ได้รับความช่วยเหลือจากทุกคน ทุกส่วนงานทั้งในและต่างประเทศ ผมเชื่อว่าคนทุกคนสามารถทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ แม้แต่คนตาบอดก็ตาม ดังคำกล่าวที่ว่า

“ผ้าขี้ริ้วถึงจะเป็นผ้าไม่มีราคา แต่มีคุณค่ายิ่งใหญ่ได้  เหมือนคนที่พยายามทำตน ให้มีคุณค่าด้วยการทำงานมิใช่ด้วยการประจบทำตนให้มีประโยชน์ ให้มีค่า ไม่ใช่งอมืองอเท้า น้อยเนื้อต่ำใจในวาสนา ชะตาชีวิต ต้องสร้างกำลังใจให้ตนเองอย่ารอคอยจากคนอื่น เมื่อประสบกับความสำเร็จดังที่เราตั้งไว้แล้ว ให้มองย้อนกลับหลังเพื่อให้โอกาสแก่ผู้ที่ต้องการโอกาส และมอบโอกาสที่เราเคยได้รับนั้นให้กับบุคคลเหล่านั้นดังคำกล่าวที่ว่าผ้าขี้ริ้วยอมสกปรกเพื่อให้สิ่งอื่นสะอาด เสน่ห์ของคนอยู่ที่ยอมลำบากเพื่อให้ผู้อื่นเป็นสุข พ่อแม่ยอมเหนื่อยเพื่อให้ลูกหลานอยู่สุขสบาย ความสุขแท้ของคน คือการได้ยืนแอบยิ้ม อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของคนอื่น นี่แหละคือความหมายของการรับ และการให้ที่แท้จริง

พีระ พิลาฤทธิ์

จบการศึกษาระดับปริญญาตรี  เมื่อปี พ.ศ. 2548 จากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ ศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชา ภาษาอังกฤษ

จบการศึกษาระดับปริญญาโท เมื่อปี พ.ศ. 2554 จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น  ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน